
คนเขียนสุชาติ ศรีสุวรรณ
ที่มองเห็นแล้วก็เป็นไป : มรรยาท
การอภิปรายไม่ไว้วางใจก่อนหน้านี้ที่ผ่านมานอกเหนือจากรายละเอียดเข้มข้น และก็แสดงข้อด้อย หรือเจตนาอันส่อความผิดปกติมากมายก่ายกอง ยังมีอีกหนึ่งเรื่องที่เป็นกระแสให้เอ๋ยถึงตลอดมากมายเป็น “มรรยาท”
นี้น่าดึงดูด
ในส่วนของรายละเอียดนั้น เรื่องราวที่ฝ่ายค้านเสนอมาจู่โจมนั้น ถ้ารัฐมนตรีที่ถูกซักฟอกแค่นำไปพิเคราะห์ปรับแต่งหลักการทำงานของตนเองอย่างใส่ใจความรู้สึกของพลเมือง อย่ามีความรู้สึกว่าพสกนิกรทึ่มจนกระทั่งไม่รู้เรื่องสึกทราบสากับการกระทำที่ฝ่ายค้านเอามาเปิดเผย จะมีประโยชน์อย่างมากกับประเทศ
แม้กระนั้นจะไม่มีสาระเลยถ้ามัวแต่พึ่งเสียงส่วนใหญ่ที่เอาเพียงแค่คุ้มครองปกป้องพวกตนเองโดยไม่คิดถึงความผิดพลาดความถูก ไม่เคยรู้ว่าการยึดเอาประโยชน์ส่วนตนสร้างความย่ำแย่ต่อสาธารณะยังไง
และก็นี้เองที่ “มรรยาท” เป็นคำที่น่าดึงดูดที่มีการเสนอขึ้นมากระทั่งเป็นกระแสสำหรับเพื่อการอภิปรายคราวนี้
ด้วยเหตุว่าคำว่า “มรรยาท” นั้น ย่อมเป็นจิตใจที่ปรับปรุงแล้วของคนเรา
ความหมายที่ตรงที่สุดเป็น การอยู่ร่วมกันกับบุคคลอื่นอย่างคิดถึงหัวใจเขาหัวใจพวกเรา ไม่แสดงอีกทั้งโดยคำพูด และก็ความประพฤติปฏิบัติให้ผู้ที่อยู่ร่วมกันกำเนิดความรู้สึกไม่ดี
“มรรยาท” ทำให้คนแตกต่าง ระหว่างคนที่ได้รับการอบรมกับผู้ไม่มีการฝึกฝน
ผู้ได้รับการสรรเสริญว่าเป็น “ผู้มีเกียรติ” เหมาะอย่างมากที่จะเป็นคนที่ขึ้นชื่อว่ามีมรรยาท
ไม่ว่าจะเป็น “คณะรัฐมนตรี” หรือ “สมาชิกรัฐสภา” เนื่องจากพวกท่านทั้งหลายแหล่กลุ่มนี้ล้วนแต่ยืนอยู่ในฐานะหัวหน้าพลเมือง เป็นภาพลักษณ์ที่สะท้อนให้สายตาชาวโลกได้มีความคิดเห็นว่าเป็นชาติที่ปรับปรุงไปได้เพียงใด
ถ้าเกิดทำความเข้าใจความหมายของมรรยาท แล้วทดลองมองดูกลับไปถึงความประพฤติของ “ผู้สูงศักดิ์” ทั้งหลายแหล่ ไม่ว่าจะเป็นคณะรัฐมนตรี สมาชิกรัฐสภา แล้วเอาความหมายของมรรยาทเข้ามาจับ คงจะรู้สึกได้ว่า “ผู้คนในประเทศของพวกเราเป็นผู้ได้รับการพัฒนาสำหรับในการอยู่ร่วมกันแล้วมากแค่ไหน”
ในตอนไม่กี่วันที่ผ่านมานี้ มีสิ่งที่เป็นรูปธรรมของความไร้มารยาทมากมาย
ในข้อกล่าวหาของฝ่ายค้าน ล้วนแต่สะท้อนกระบวนการทำหน้าที่อย่างไร้มรรยาทที่จะนึกถึงความรู้สึกของพลเมืองที่ได้รับผลพวง
วิธีการทำหน้าที่ผู้พิทักษ์รักษาผู้กุมอำนาจ ด้วยการคัดค้านจำเจ
ที่ตกต่ำกว่านั้นเป็น แม้ว่าจะเป็นการปฏิบัติภารกิจอย่างชัดเจนว่าพากันปล่อยปละละเลย “มรรยาท” แต่เปลี่ยนเป็นเรียก “มรรยาท” กันอย่างเต็มปากเต็มคำจากบุคคลอื่น
แลเห็นแม้กระนั้น “ความไร้มารยาทของบุคคลอื่น” แต่ไม่ทราบสึกถึงสิ่งที่ต้องการจะต้องมีมรรยาทของตน
มรรยาทคือเรื่องของความละอายใจที่จะต้องมีในจิตใจ
ถ้าเกิดว่าไม่มีความละอายใจเสียแล้ว “มรรยาท” ที่จะเข้าใจในเรื่องชีวิตที่ผ่านการพัฒนาแล้วเป็นไปไม่ได้เกิดขึ้นได้
เสียงเรียกมรรยาทที่ดังขรม ช่วงเวลาที่ตนเองแสดงความไร้มารยาทอยู่ต่อหน้า ก็เลยเกิดขึ้นโดยไม่รู้เรื่องสึกทราบสาอะไร
สุชาติ ศรีสุวรรณ